Чи прорвет ціновий рівень золота у 2569 році? Фактори підтримки та ризики, які потрібно знати при інвестуванні

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นจากระดับ 3,000 ดอลลาร์เป็น 4,181 ดอลลาร์ต่อออนซ์ บรรลุจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพียงครั้งแรกในวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ผู้ที่ซื้อทองไว้หลายเดือนที่ผ่านมาอาจรู้สึกปลื้มใจ แต่สำหรับนักลงทุนที่ยังลังเลใจ คำถามที่เกิดขึ้นคือ: ราคาทองคำจะลงอีกไหม หรือจะยังขึ้นต่อไปในปี 2569?

เหตุผลสี่ประการที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งตัวขึ้นเกิน 60% ในปีเดียว

ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวขึ้นโดยบังเอิญ มีปัจจัยพื้นฐานหลายประการที่สนับสนุนการเพิ่มขึ้นนี้

ความตึงเครียดทางการค้าเป็นตัวจุดไฟหลัก

ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้升级เป็นระดับสงครามการค้าเต็มรูปแบบ ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศแผนขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 100% ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2568 เป็นตอบโต้ต่อการควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีน ภาวะไม่แน่นอนเศรษฐกิจทั่วโลกที่เกิดจากความขัดแย้งนี้ทำให้นักลงทุนมองหาการป้องกันความเสี่ยง ทองคำจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการกระจายความเสี่ยง

ธนาคารกลางทั่วโลกเป็นผู้ซื้อขนาดใหญ่

สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือการซื้อทองคำของธนาคารกลางในประเทศตลาดเกิดใหม่ ปัจจุบันธนาคารกลางทั่วโลกจะซื้อทองคำสุทธิมากกว่า 1,000 ตันต่อปี ติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปีแล้ว (2565-2567) และยังคงสนใจในปี 2568 เป้าหมายคือการกระจายความเสี่ยงออกจากการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ (De-dollarization) เหตุการณ์นี้เร่งตัวขึ้นหลังจากการอายัดสินทรัพย์ของธนาคารกลางรัสเซียในปี 2022 ซึ่งทำให้หลายประเทศตระหนักถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพาสกุลเงินเดียวมากเกินไป

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยสนับสนุนทองคำ

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มวงจรการลดอัตราดอกเบี้ยโดยปรับลด 0.25% ในเดือนกันยายน 2568 ตลาดคาดว่าจะมีการปรับลดเพิ่มเติมในเดือนตุลาคมและธันวาคม การลดดอกเบี้ยส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว ซึ่งทำให้ทองคำราคาเถื่อแนะนำสำหรับผู้ซื้อเงินสกุลอื่น โดยทั่วไปแล้ว ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับอัตราดอกเบี้ยจริง เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำลง ต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำก็ลดลง ทำให้ทองคำน่าลงทุนมากขึ้น

กลุ่ม BRICS พยายามลดความเป็นแรงขับของดอลลาร์

ข่าวการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของ BRICS ที่มีทองคำหนุนพื้นหลัง เพื่อใช้เป็นสื่อแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศสมาชิก เป็นการเคลื่อนไหวที่มีความหมายต่อการท้าทายฐานะของดอลลาร์สหรัฐ มาตรการนี้ย้ำถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของทองคำในระบบการเงินโลกยุคใหม่

บิ๊กเนมวอลล์สตรีทมองอะไร: เป้าหมายราคาทองแบบ Bullish

สถาบันการเงินระดับโลกกำลังเพิ่มการประมาณการราคาทองคำของพวกเขา

Goldman Sachs ตั้งเป้าราคาทองคำที่ 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในสิ้นปี 2569 (เพิ่มขึ้นจาก 4,300 ดอลลาร์ที่คาดไว้ก่อนหน้า) และอัปเกรดเป้าหมายสิ้นปี 2568 เป็น 3,300 ดอลลาร์ (จากเดิม 2,890 ดอลลาร์) นักวิเคราะห์ Lina Thomas ระบุว่าอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากธนาคารกลางและกระแสเงินเข้า ETF ทองคำคือตัวหลัก

UBS เดิมคาดการณ์ว่าทองคำจะแตะ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในธันวาคม 2568 โดยเน้นว่า “รูปแบบการสะสมทองคำของธนาคารกลางนั้นไม่เคยพบเห็นมาก่อน” ตามคำกล่าวของนักยุทธศาสตร์ Joni Teves ผู้ชี้ให้เห็นว่าธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มสำรองทองคำกว่า 1,200 ตันในเพียงปี 2567 เพียงปีเดียว

การคาดการณ์ราคาทองคำในประเทศไทย

หากผลการหารกับเป้าหมาย 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตามการประมาณการของ Goldman Sachs) คำนวณกลับมาเป็นราคาทองแท่ง 96.5% ในบาทไทย จะได้ว่าระดับราคา 75,000-80,000 บาทต่อบาททองคำนั้นเป็นไปได้ภายในปี 2569 แม้ว่าระหว่างทางจะมีการปรับหรือการขึ้นลงเล็กน้อย แต่ทิศทางโดยรวมยังคงนำไปสู่ระดับราคาที่สูงขึ้น

จากเทคนิคการเทรด: สัญญาณปัจจุบันบ่งชี้อะไร?

การวิเคราะห์ทางเทคนิคเผยให้เห็นหลายสัญญาณที่น่าสนใจ:

ระดับ RSI (Relative Strength Index) อยู่ในโซน Overbought ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมีการปรับตัวลงในระยะสั้นเพื่อนำทางใจอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หากแรงซื้อยังคงเข้ามา RSI สามารถคงตัวอยู่ในระดับสูงได้ แสดงว่าแนวโน้มขาขึ้นเป็นแนวโน้มหลัก

รูปแบบแท่งเทียน บ่งชี้ให้เห็นตัวบ่งชี้การกลับตัวในระยะสั้น เช่น Shooting Star ปรากฏขึ้น อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่แนวโน้มหลักยังแข็งแกร่ง การปรับตัวลงอาจเป็นเพียงการพักฐานชั่วคราวเท่านั้น

ตำแหน่งแนวรับและแนวต้าน ระดับสำคัญที่ต้องเฝ้าระวัง: แนวรับแรกที่ 3,859 ดอลลาร์ (เปิดเดือนตุลาคม) และแนวรับที่ 3,782 ดอลลาร์ หากสามารถป้องกันได้ การปรับตัวขึ้นต่อไปจึงมีโอกาสมากขึ้น

ข้อเตือนสำคัญ: ปัจจัยที่อาจทำให้ราคาทองคำลดลง

ถึงแม้ว่าภาพรวมจะขาขึ้น แต่มีหลายรูการ์ดที่นักลงทุนควรเตือนใจ:

สัญญาณการเจรจาหรือการบรรเทาความตึงเครียดทางการค้า ระหว่างสหรัฐและจีน หากมีความก้าวหน้า ทองคำอาจปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว

การฟื้นตัวของค่าเงินดอลลาร์ หากเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งเกินคาด Fed อาจชะลอการลดดอกเบี้ย ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าและกดดันราคาทองคำ

แรงเทขายทำกำไรที่อาจปรากฏ หลังจากอัพเทรนด์ที่รวดเร็วต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ นักลงทุนอาจเริ่มขายเพื่อเก็บกำไร สร้างแรงกดดันให้ราคาย้อยตัวในระยะสั้น

สถานการณ์เงินเฟ้อยังไม่สงบตัว หากอัตราเงินเฟ้อยังสูงเกินคาด Fed อาจต้องคงอัตราดอกเบี้ยสูงนานกว่าที่ตลาดคาดหวัง ส่งผลให้ราคาทองคำอ่อนตัว

เทคนิคการเทรดทองคำสำหรับสภาพแวดล้อมปัจจุบัน

นักลงทุนที่ต้องการเข้าตลาดในช่วงนี้อาจพิจารณากลยุทธ์ต่อไปนี้:

วิธีที่ 1: รอจังหวะพักฐาน (Buy the Dip) เนื่องจากทองคำกำลังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นแต่ราคาปรับขึ้นเร็วจึงมีความเป็นไปได้ของการปรับตัวลงระยะสั้น รอให้ราคาลดมาที่แนวรับแรก 3,859 ดอลลาร์ หรือ 3,782 ดอลลาร์ ยืนยันด้วยดัชนี RSI ที่ปรับตัวลงเข้าใกล้ 50 เข้าซื้อตอนนั้น ตั้งกำไรเป้าหมายที่จุดสูงสุดเดิม 4,059 ดอลลาร์ หรือแนวต้านถัดไป 4,084-4,113 ดอลลาร์

วิธีที่ 2: ทดสอบจุด Breakout (Breakout Retest) เมื่อราคาทะลุแนวต้านจิตวิทยา 4,000 ดอลลาร์ รอให้ปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับใหม่เดิม 3,980-4,000 ดอลลาร์ เมื่อเห็นการเด้งขึ้นและปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น เข้าซื้อ ตั้งจุดตัดขาดทุนใต้ 3,950 ดอลลาร์ เป้าหมายคือ 4,100 ดอลลาร์

วิธีที่ 3: ใช้ Fibonacci Retracement ลากเส้น Fibonacci จากจุดต่ำสุดรอบก่อน (ประมาณ 3,500 ดอลลาร์) ไปยังจุดสูงสุดล่าสุด (4,059 ดอลลาร์) มองหาระดับซื้อที่ 38.2% หรือ 61.8% ซึ่งเป็นระดับการปรับตัวที่พบได้บ่อย เข้าซื้อเมื่อราคาสัมผัสระดับเหล่านี้และแสดงสัญญาณกลับตัว

บทสรุป: ทองคำปี 2569 ยังมีโอกาส แต่ต้องจับจังหวะ

ภาพรวมของปี 2568-2569 ชี้ให้เห็นว่าราคาทองคำยังคงมีแรงหนุนแข็งแรง โดยเป้าหมายระดับ 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ของ Goldman Sachs ดูเป็นไปได้ สำหรับนักลงทุนไทย นี่อาจหมายถึงความเป็นไปได้ในการเห็นราคาทองแท่งพุ่งเข้าใกล้ 75,000-80,000 บาทในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ความผันผวนสูง ปัจจัยทางการค้า นโยบายอัตราดอกเบี้ย และความตึงเครียดภูมิรัฐศาสตร์ต่างก็ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนจึงต้องคอยติดตามข้อมูลข่าวสารและสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด การเข้าตลาดอย่างรอบคอบ ตั้งเป้าหมายและจุดตัดขาดทุนอย่างชัดเจน จะช่วยให้การลงทุนในทองคำเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า